หลวงพ่อเงิน    จนฺทสุวณฺโณ

(พระราชธรรมาภรณ์)

วัดดอนยายหอม  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง  จังหวัดนครปฐม

สนใจเช่าบูชาูวัตถุมงคลของหลวงพ่อเงิน Click ที่นี่ได้เลยครับ

 

            หลวงพ่อเงิน  จนฺทสุวณฺโณ  เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม อดีตพระคณาจารย์นักพัฒนา พระเครื่อง และวัตถุมงคลของท่านยอดเยี่ยมด้านคงกระพันชาตรี เปี่ยมด้วยเมตตามหานิยมยิ่งนัก

                ในอดีตนั้น วัด คือจุดศูนย์รวมของชุมชน  โดยเฉพาะในชนบทห่างไกลความเจริญ  เป็นทั้งแหล่งให้วิชาความรู้ เป็นแหล่งอบรมศีลธรรม เป็นแหล่งสถานพยาบาลในยามเจ็บไข้ได้ป่วย รวมถึงเป็นแหล่งที่พึ่งทางจิตใจ  โดยพระสงฆ์ผู้มีความรู้ความสามารถ และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน  เป็นผู้ทำหน้าที่ดังกล่าวนี้

                นอกจากนั้นแล้ว พระสงฆ์ยังมีฐานะเป็นแกนนำสำคัญของชุมชนในการพัฒนาท้องถิ่น  ให้มีความเจริญด้านต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จาก อัตชีวประวัติของพระคณาจารย์ดังในอดีตทุกท่านทุกองค์  ต่างประพฤติปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอด  อันเนื่องจากว่าท่านเหล่านั้นเป็นพระคณาจารย์ที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสศรัทธาจากบรรดาลูกศิษย์ลูกหา  และพุทธศาสนิกชน  เมื่อทำการสิ่งใดจึงสำเร็จได้โดยง่าย  ด้วยความร่วมมือร่วมใจจากชาวบ้านในชุมชนนั้น  พระสงฆ์จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อชุมชนในทุก ๆ ด้าน

                หลวงพ่อเงิน จนฺทสุวณฺโณ  หรือ สมณศักดิ์ที่ พระราชธรรมาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม ท่านเป็นพระคณาจารย์ที่ได้รับการยกย่อง  และเคารพนับถือเลื่อมใสศรัทธาจากชาวบ้านดอนยายหอม  รวมถึงพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปเป็นอย่างมาก  จนได้รับสมญานามว่า เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม  ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้มีวัตรปฏิบัติงดงาม เป็นเสาหลักที่พึ่งพักพิงผู้เดือดร้อน  อบรมบ่มนิสัยให้พุทธศาสนิกชนเป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นแกนนำสำคัญในการพัฒนาพระอาราม และชุมชน ให้มีความเจริญในทุก ๆ ด้าน  ไม่จะเป็นเสนาสนะ ถาวรวัตถุ การศึกษาทั้งทางโลก และทางธรรม รวมถึงสิ่งสาธารณูปโภคต่าง ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น สำเร็จลงได้ด้วยความร่วมมือร่วมไม้ของชาวบ้าน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันทำเพื่อบุคคลอันเป็นที่รัก  เคารพนับถือ และศรัทธาของตนเอง คือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม  งานทุกอย่างจึงสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ติดขัด

กล่าวได้ว่า ท่านหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม คือ เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม โดยแท้ แม้ท่านจะมรณภาพไปนานแล้วก็ตาม  แต่สิ่งต่าง ๆ ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา โดยเฉพาะชาวดอนยายหอมอย่างไม่มีวันลืม  ต่างยังรำลึกถึงท่านอย่างไม่มีวันเลือนหายไปจากความทรงจำ  และเป็นเช่นนี้ชั่วกาลนาน

                หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นคนบ้านดอนยายหอมโดยกำเนิด เกิดในครอบครัวเกษตรกรรมที่มีฐานะมั่งคั่งครอบครัวหนึ่งของบ้านดอนยายหอม  เกิดเมื่อวันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2433 (ร.ศ. 109, จ.ศ. 1252) ตรงกับขึ้น 3 ค่ำ เดือน 10 ปีขาล  ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

                เป็นบุตรของ พ่อพรม-แม่กรอง นามสกุล ด้วงพูลเกิด มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 4 คือ

1.        นายอยู่

2.        นายแพ

3.        นายทอง

4.        ท่านหลวงพ่อเงิน จนฺทสุวณฺโณ

5.        นายแจ้ง

6.        นายเนียม

7.        นางสายเพ็ญ

8.        นางเมือง 

ในจำนวนบุตรทั้งหมด 7 คนนี้ ท่านเป็นคนที่ได้รับการโปรดปรานจากบิดา-มารดามากที่สุด  เพราะอุปนิสัยของท่านเป็นคนอ่อนโยนสุภาพเรียบร้อย มีสติปัญญาเฉียบแหลม ทั้งยังได้ยึดถือตัวอย่างจากบิดาที่ประพฤติดีประพฤติชอบ  ขยันขันแข็ง  ไม่เป็นนักเลงอันธพาล  หรือปล่อยเวลาว่างไปโดยเปล่าประโยชน์

วัยเยาว์ของท่าน  ได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่บ้าน มีพ่อพรมเป็นผู้สอน ด้วยเหตุว่าพ่อพรมนั้นเป็นผู้คงแก่เรียนทั้งหนังสือไทย อักขระขอม และวิชาอาคมต่าง ๆ จึงได้ถ่ายทอดให้กับลูกทุกคน ควบคู่ไปกับการสอนศีลธรรม  ไหว้พระ สวดมนต์ เป็นประจำ เป็นการปลูกฝังพื้นฐานที่ดีงามแก่ลูก ๆ ทั้งชายหญิง ให้มั่นคงในพระศาสนา  ดังนั้น เมื่อบุตรชายคนใดอายุครบอุปสมบท พ่อพรมจะจัดงานให้อย่างยิ่งใหญ่ครึกครื้น มีมโหรี แตรวง กลองยาว แห่แหนกันอย่างสนุกสนาน ลูกชายคนโต ไม่ว่าจะเป็น นายอยู่ นายแพ นายทอง ต่างอุปสมบทบวชเรียนจนได้ลาสิกขาบทออกมาแต่งงาน แยกเรือนออกไปเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว

 

 

เมื่อถึงคราวท่านหลวงพ่อเงินอุปสมบท พ่อพรมได้จัดงานให้อย่างเรียบง่าย ด้วยรู้ใจของบุตรชายดีว่า เป็นคนไม่ชอบความครึกครื้นเหมือนคนอื่น ถึงเวลาก็แห่รอบพระอุโบสถสามรอบ  และทำพิธีบรรพชา-อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดดอนยายหอม  โดยมีพระปลัดฮวย เจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม  เป็นพระอุปัชฌาย์  สำเร็จเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา เวลา 18.15 น.  ตรงกับวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2453 ได้รับฉายาว่า จนฺทสุวณฺโณ

ภายหลังการอุปสมบท  ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดดอนยายหอมตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย  รวมถึงบทสวดมนต์ต่าง ๆ ท่านก็สามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากมีพื้นฐานที่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  และเพียงชั่วพรรษาแรก ก็สามารถสวดพระปาฏิโมกข์จนจบได้อย่างแคล่วคล่อง  สิ่งที่ท่านทำควบคู่กันโดยตลอด คือ การฟื้นฟูทบทวนคาถาอาคมต่าง ๆ ที่ได้ร่ำเรียนศึกษามาจากผู้เป็นบิดาอย่างไม่เคยขาด

ในพรรษาต่อมา ได้เริ่มศึกษาฝึกฝนวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามที่บิดาได้แนะนำ ใช้เวลาและฝึกฝนปฏิบัติอยู่นานถึง 5 ปี จนมีความเชี่ยวชาญชำนาญ  พรรษาที่ 6 เริ่มออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาความสงบวิเวก เป็นการฝึกจิตสมาธิให้กล้าแข็ง ตามแบบของพระคณาจารย์ยุคเก่าที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา  อันเป็นการกำจัดเอาอาสวกิเลสให้บรรเทาเบาบาง  ทั้งยังเป็นการเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาไปในตัว  ท่านเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่งทั่วทุกภูมิภาค รวมถึงได้ไปกราบหลวงพ่อพระพุทธชินราช ที่พิษณุโลก  ซึ่งต่อมาภายหลังท่านได้นำแบบอย่างมาจำลอง  สร้างเป็นวัตถุมงคลชนิดต่าง ๆ ดังปรากฏพบเห็น  และเล่นหาสะสมกันอยู่ในปัจจุบัน

ในพรรษาที่ 6 นี่เอง  ภายหลังที่ท่านกลับจากการออกเดินธุดงค์ ไม่นานนักก็ได้รับการแต่งตั้งจากท่านเจ้าคุณพุทธรักขิต  เจ้าคณะจังหวัดให้เป็นรองเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ตรงกับวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2459

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2466  ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม เนื่องจาก พระปลัดฮวย อดีตเจ้าอาวาสมรณภาพ

วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2472 เป็นพระปลัด ฐานานุกรมของเจ้าคณะเมืองนครปฐม

วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2473 เป็นพระอุปัชฌาย์

วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่  พระครูทักษิณานุกิจ

วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2504 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชธรรมาภรณ์

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม พระเถระผู้เข้มขลังในพระเวทย์วิทยาคม ดังจะเห็นได้จากวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่ท่านสร้าง และปลุกเสกเอาไว้ มีผู้นำไปใช้อาราธนาติดตัว แล้วเกิดประสบการณ์มาอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน  นอกจากนั้นแล้ว ท่านยังมีเมตตาต่อบรรดาลูกศิษย์อย่างเสมอภาค  ไม่แบ่งแยกมั่งมี หรือยากจน ทุกคนเท่าเทียมกัน

นอกจากท่านจะเป็นที่พึ่งทางจิตใจแล้ว ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่นำความเจริญมาสู่ท้องถิ่นอย่างมากมาย นับเริ่มต้นจากปี พ.ศ. 2459  ซึ่งเป็นปีที่ท่านรับตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ขณะนั้นวัดกำลังทรุดโทรม เสนาสนะต่าง ๆ หรือ แม้กระทั่งกุฏิ ชำรุด ผุพังเกือบทั้งหมด  ท่านได้เริ่มทำการบูรณปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่  เพื่อให้เสนาสนะกลับฟื้นคืนสภาพดีดังเดิม  นอกจากการบูรณปฏิสังขรณ์แล้ว  ท่านยังได้ก่อสร้างถาวรวัตถุอีกหลายอย่าง เช่น ปี พ.ศ. 2465 สร้างหอสวดมนต์  ปี พ.ศ. 2470 สร้างศาลาการเปรียญ  ปี พ.ศ. 2480 สร้างพระอุโบสถหลังใหม่  เมื่อแล้วเสร็จจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิต  ปี พ.ศ. 2492  หล่อพระประธานในพระอุโบสถ ขนาดหน้าตัก 4 ศอก 6 นิ้ว ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ปี พ.ศ. 2470 สร้างสถานีอนามัย  ปี พ.ศ. 2497 และสร้างโรงเรียนสหศึกษาบาลี  สร้างตึกเรียนพระปริยัติธรรม สร้างโรงเรียนประชาบาล ฯลฯ

 

กิจวัตรของหลวงพ่อ

กิจวัตรประจำของท่านนั้น  ท่านตื่นเวลา 5.00 น.  ล้างหน้าครองจีวรแล้ว  ก็สวดมนต์เจริญภาวนาพอได้เห็นอรุณท่านก็ออกเดิน  (สมัยยังหนุ่มท่านไปบิณฑบาตด้วย)  ตรวจดูความสะอาดและสิ่งต่าง ๆ ภายในวัด เวลา 7.00 น.  ฉันเช้าเสร็จก็นั่งพักผ่อนหรือรับแขกที่หน้ากุฏิของท่าน  ในระหว่างเวลาที่พักผ่อนนี้  ท่านมักจะนิมนต์พระในวัดมาสอบถามความเป็นไปต่าง ๆ เพื่อหาโอกาสสั่งสอนบ้าง  บางทีก็เรียกศิษย์วัดไปนั่งเป็นกลุ่มให้หัดท่องหนังสือบ้าง  ให้มีผู้อ่านหนังสือให้ท่านฟังบ้าง  หากว่างจริง ๆ ท่านก็มักจะนั่งสงบจิตอยู่ผู้เดียว  ซึ่งความจริงโอกาสว่างหรือจะพักผ่อนจริง ๆ หาได้น้อยเต็มที  ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปในการรับแขกเกือบทั้งสิ้น

เวลา 11.00 - 12.00 น.  ฉันเพล  เมื่อเสร็จแล้ว  ก็กลับมานั่งหน้ากุฏิเพื่อรับแขก  ซึ่งมักจะมีมากันมากหน้าหลายตาในตอนนี้  เพราะเป็นแขกที่มาจากต่างท้องที่หรือจังหวัดไกล ๆ ต้องเสียเวลาเดินทางมา  ตอนเย็นราว 19.00 น.  หลังจากสรงน้ำ  ซึ่งเป็นเวลาพลบค่ำท่านก็จะหาโอกาสสั่งสอนพระภิกษุหรือชาวบ้านไปจนถึง 22.00 - 23.00 น. จึงจะขึ้นกุฏิเพื่อเตรียมตัวจำวัด  แต่ก่อนจำวัด ท่านจะต้องเข้าห้องพระบูชาพระรัตนตรัยแล้วเข้ากลด  ซึ่งทำเป็นลักษณะคล้ายกับของภิกษุซึ่งออกธุดงค์  ข้าง ๆ กลดมีรูปกะโหลกศีรษะและโครงกระดูกคน  เข้าใจว่าสำหรับใช้ปลงกัมมัฏฐาน

กิจวัตรของหลวงพ่อที่กล่าวข้างต้น  แตกต่างกันมากมายระหว่างฤดูเข้าพรรษากับฤดูออกพรรษา  เพราะในตอนเข้าพรรษามีพระบวชใหม่มาก  มีชาวบ้านมาวัดมาก ประกอบกับงานนิมนต์ต่างท้องที่นอกวัดก็ลดน้อยลง  หลวงพ่อจึงมีเวลาอยู่วัดมากขึ้น  หลวงพ่อได้ใช้เวลาเหล่านี้ในการฝึกสอนอบรมพระลูกศิษย์วัดตลอดจนชาวบ้าน  โดยเฉพาะอุบาสกอุบาสิกา ที่มารักษาอุโบสถศีลในวันพระ  โดยปกติ  การลงอุโบสถในวันพระ 8 ค่ำ 15 ค่ำ  ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ หลวงพ่อไม่ยอมขาดเลย  สำหรับวันพระ 15 ค่ำ  หลวงพ่อจะต้องพยายามลงให้ได้  แม้จะเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย หลวงพ่อก็ไม่ยอมเสียโอกาส

ผู้ที่อยากจะสนทนากับหลวงพ่อนาน ๆ ก็จะต้องหาทางให้ท่านบรรยายธรรมะ  เพราะหลวงพ่อสนใจจะพูดคุยด้วยยิ่งกว่าการคุยเรื่องอื่น  บ่อยครั้งที่ลูกศิษย์ลูกหาต้องนั่งฟังหลวงพ่อคุยเรื่องธรรมะ ธรรมโม อยู่จนตีหนึ่ง ตีสอง โดยไม่รู้สึกง่วง  เพราะหลวงพ่อเข้าใจหาเรื่องมาสอนและถูกรสนิยมผู้ฟังด้วย หลวงพ่อถือคติว่า “พระก็เหมือนเนื้อนา  ถ้าไม่ดีก็ไม่มีใครเขาหว่านพืชผลลงไป  เพราะรังแต่จะสูญเปล่า ไม่ได้ผลกลับคืน”  โดยเหตุนี้ท่านจึงวางกฎสำหรับให้พระภิกษุสงฆ์ในวัดยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติไว้เคร่งครัด  เป็นต้นว่า ถ้าไม่มีกิจจำเป็นจริง ๆ แล้ว  พระภิกษุทุกองค์จะต้องทำวัตรเช้าเย็นไม่ว่าจะเป็นออกพรรษาหรือในพรรษา  และพระภิกษุต้องตื่นก่อนรุ่งอรุณ  คือวัดจะตีระฆังปลุกราว 5.00 น.  เมื่อตื่นแล้วต้องครองผ้า  สวดมนต์ในห้องเสียก่อนที่จะเปลี่ยนผ้าครองออกไปบิณฑบาต

พระภิกษุในวัดจะต้องมาฉันเพล  ฉันจังหันรวมกัน ณ หอฉัน เมื่อฉันเช้าเสร็จแล้วจะพักผ่อนหรือท่องหนังสือก็สุดแต่ใจสมัคร  เมื่อฉันเพลแล้ว  ถ้าเป็นในฤดูในพรรษาจะต้องขึ้นเรียนพระปริยัติธรรมราว 3 ช.ม.  เสร็จจากการเรียนก็สรงน้ำแล้ว พักผ่อนเตรียมตัวทำวัตรเย็น  หลังจากการทำวัตรเย็น  หลวงพ่อใช้วิธีฝึกฝนพระภิกษุด้วยการให้ฟังเทศน์  โดยพระทุกองค์ผลัดกันแสดงวันละองค์หมุนเวียนไปตามลำดับอาวุโส  ถ้าเป็นวันธรรมสวนะด้วยแล้ว  ก็จะมีพระภิกษุอาวุโสแสดงปาฏิโมกข์ หลังจากนั้นหลวงพ่อก็จะอบรมข้อปฏิบัติต่าง ๆ บางครั้งต้องอยู่ในอุโบสถ  เพื่อฟังโอวาทของท่านถึง 21.00 -  22.00 น.  พระภิกษุต้องนั่งพับเพียบเมื่อยแล้วเมื่อยอีก  แต่หลวงพ่อไม่เคยแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยให้ปรากฏ

ถ้าเป็นวันธรรมดาเมื่อเสร็จจากการทำวัตรแล้ว  พระภิกษุสงฆ์ก็จะต้องไปพร้อมกันที่หน้ากุฏิเพื่อรับฟังโอวาทหรือการอบรมข้อปฏิบัติต่าง ๆ รวมทั้งการปฏิบัติภายในวัด  มีบ่อย ๆ ที่หลวงพ่อก็ไม่ย่อท้อคงรักษาวัตรปฏิบัติตามปกติ  แต่เป็นหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์จะทราบและขอนิมนต์ว่า  จะนวดให้ท่านในระหว่างเวลาที่หลวงพ่อเอนให้นวด  หลวงพ่อจะหาเรื่องสนทนาเป็นการอบรมบ่มนิสัยไปด้วยในตัว  ผู้ที่หาโอกาสปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ  จึงเป็นผู้ที่มักจะได้รับถ่ายทอดธรรมะและความรู้ต่าง ๆ จากหลวงพ่อมากกว่าผู้อื่น  ตามปกติหลวงพ่อถือหลักปกครองวัดเสมือนบิดากับบุตร  มีทั้งการให้ปันและเอาใจใส่เมื่อเจ็บไข้  แม้ว่าหลวงพ่อจะฉันจังหันเพียงองค์เดียว  แต่หลวงพ่อก็แสดงเมตตาจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  ด้วยการนำอาหารที่มีผู้มาถวายมาแบ่งปัน เฉลี่ยไปยังพระภิกษุสงฆ์อื่น ๆ ภายในวัดอยู่แทบทุกวัน  คราวหนึ่งราว 20 ปีมาแล้ว  มีพระภิกษุบวชใหม่เกิดอาพาธกะทันหันขึ้นในเวลาค่ำคืน  วันนั้นบังเอิญหลวงพ่อรับนิมนต์ไปนอกวัด  กว่าจะกลับก็ 4 ทุ่ม  ซึ่งเป็นเวลาที่คนอื่นเข้าห้องนอนกันแล้ว  เมื่อหลวงพ่อทราบว่ามีพระป่วย หลวงพ่อก็กระวีกระวาดสั่งลูกศิษย์จุดตะเกียงขึ้นหลายดวง (ขณะนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้) แล้วหลวงพ่อก็นำเด็กออกตระเวนหาต้นยาสมุนไพรด้วยตนเอง  ชาวบ้านใกล้เคียงเห็นแสงตะเกียงเคลื่อนไหวไปมามากผิดปกติ ก็ออกมาสอบถาม ได้ความว่าเด็กวัดกำลังเก็บสมุนไพร ช่วยหลวงพ่อจนได้ยาครบและถวายพระที่อาพาธในคืนนั้นเอง การปฏิบัติของหลวงพ่อตามที่ยกมากล่าวนี้  เป็นเพียงส่วนหนึ่งในหลายส่วนที่ไม่สามารถจะยกมากล่าวได้  หลวงพ่อสนใจในทุกข์สุขของพระภิกษุสงฆ์ในวัด  และเอาใจใส่ดูแลช่วยเหลือด้วยความจริงใจ  นับได้ว่าท่านมีความเมตตาธรรมประจำใจสูง

ทราบแล้วว่า หลวงพ่อท่านไม่แตะต้องเงินและทอง การเงินของวัดที่มีผู้บริจาค  ซึ่งปีหนึ่งเป็นจำนวนนับหมื่นนับแสนนั้น  หลวงพ่อได้มอบให้อยู่ในความรับผิดชอบของกรรมการวัดทั้งสิ้น  การใช้จ่ายจะเป็นอย่างไรสุดแต่กรรมการของวัด  ซึ่งปกติกรรมการจะใช้สอยอย่างใดก็ย่อมจะทำได้  แต่โดยที่กรรมการเหล่านั้นก็ล้วนแต่ผู้ใคร่ในการกุศลและได้รับการอบรมดีจากหลวงพ่อ  การเงินของวัดจึงเรียบร้อยด้วยเป็นที่เชื่อถือของประชาชน  ทุกคนถือปฏิบัติกันเป็นประจำว่า “ของวัดไม่เอาออก”  หมายความว่าการจัดงานใด ๆ เพื่อหาประโยชน์ให้แก่วัดนั้นกรรมการที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง  ซึ่งจะต้องใช้จ่ายเงิน  เช่น การจ่ายเงินค่ารถเป็นต้น  กรรมการเหล่านี้จะไม่ใช้เงินของวัดเลย  ทุกคนจะออกเงินส่วนตัว  ส่วนรายได้เท่าใดเข้าวัดหมด  และคนดอนยายหอมส่วนมากถือปฏิบัติทำนองนี้เป็นประจำ  ชาวดอนยายหอมเหล่านี้ถือว่า เงินหรือทรัพย์สินที่เขาบริจาคเพื่อการบุญการกุศลควรให้ถึงวัด  เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะนำไปใช้จ่ายไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ เพราะ “กลัวบาป”  การทำงานของวัดที่มีการละเล่น การแสดง เช่น หนัง ลิเก ก็ตาม ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ชาวดอนยายหอมจะต้องหาแยกมาต่างหาก  ไม่ยอมเอาเงินทองที่ผู้อื่นทำบุญมาจ่ายในเรื่องนี้เป็นอันขาด  คงจะเพราะความเชื่อมั่นเช่นนี้กระมัง  คนจึงชอบบริจาคการบุญการกุศลให้แก่วัดดอนยายหอม  จนท่านธรรมานันทะ อดชมเชยไม่ได้

หลวงพ่อเงินท่านเคยปรารภว่า  “ทุกคนเขารู้จักใช้เงินเหมือนกันทั้งนั้น  แต่เขาก็พอใจจะใช้จ่ายในที่ซึ่งเขาเห็นว่าจะได้ประโยชน์มากกว่า  ฉะนั้น ถ้าทางวัดทำให้เขาเข้าใจได้เช่นนี้ ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีผู้ทำบุญ”  คงจะด้วยเหตุนี้ ท่านเจ้าคุณพุทธรักขิต  เจ้าคณะจังหวัดชมเชยกับวัดที่อยู่ในความดูแลของท่านเรื่อย ๆ ว่า  “ให้ดูคุณเงิน  สมภารวัดดอนยายหอมเขาเป็นตัวอย่างซิ  สมภารเด็ก ๆ ก็จริง แต่เขาทำอะไรเป็นหลักฐานดี”

ขอนำคำกล่าวของท่านเจ้าคุณพุทธรักขิต เจ้าคณะจังหวัด  ซึ่งเดินทางมาตรวจวัดดอนยายหอม  แล้วได้ทำการประชุมสงฆ์พร้อมด้วยชาวบ้าน เพื่อเลือกรองเจ้าอาวาส เมื่อ 30 พฤษภาคม 2459  เสร็จแล้วท่านกล่าวกับหลวงพ่อตอนจะกลับว่า “คุณ (หมายถึงหลวงพ่อเงิน) จะเป็นผู้ปกป้องชาวบ้านนี้ให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม  คุณจะเป็นผู้นำทางให้เขาไปสู่แสงสว่าง อันหมายถึงความสงบสุข  ลักษณะของคุณก็บอกชัดอยู่ว่า  เป็นผู้ชอบแผ่เมตตา ขอให้คุณเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพระบวรศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด”

 

 

ปฏิปทาของหลวงพ่อ

หลวงพ่อได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุด้วยความศรัทธาเลื่อมใส  ในพระบวรพุทธศาสนาโดยแท้จริง และได้รับสมญานามจากท่านปลัดฮวย  เจ้าอาวาสวัดดอนยายหอมในขณะนั้น ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ว่า “จนฺทสุวณฺโณ ” นับแต่เริ่มอุปสมบทปรากฏว่าหลวงพ่อมีขันติ  วิริยะยอดเยี่ยม  สามารถท่องปฏิโมกข์จบและแสดงในเวลาทำสังฆกรรมได้ตั้งแต่พรรษาแรก  แล้วยังได้บำเพ็ญเพียรในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน  ตามที่คุณโยมบิดาของท่านแนะนำเป็นเวลาถึง 5 ปีเต็ม  ในปลายพรรษาที่ห้านั้นเอง  หลวงพ่อพร้อมด้วยพระที่วัดอีก 2 องค์  ก็ได้ออกจาริกธุดงค์ไปตามชนบท  มุ่งหน้าขึ้นภาคเหนือผ่านป่าลพบุรี  สระบุรี เรื่อยขึ้นไปถึงนครสวรรค์  ค่ำที่ไหนก็กางกลดพักแรมที่นั่น อาหารที่ฉันก็เพียงมื้อเดียว

ท่านคงจะทราบว่าการเดินทางด้วยเท้าเปล่า  ไม่สวมรองเท้าไปยังจังหวัดลพบุรี  สระบุรี  นครสวรรค์  ในสมัย 60 ปีมาแล้ว  มีความยากลำบากยากแค้นประการใดบ้าง  เพราะสมัยนั้นบ้านคนก็ยังไม่ค่อยมีป่าก็เป็นป่าดงดิบ  ที่เต็มไปด้วยสิงห์สาลาสัตว์ร้ายนา ๆ ชนิด  ซึ่งยากที่บุคคลผู้ไม่มีอาวุธหรือเครื่องมือป้องกันตนเพียง 3 คน  จะผ่านได้ตลอดรอดฝั่งด้วยความปลอดภัย  นอกจากนั้นการเดินทางด้วยเท้ากรำแดดฝ่าลมทั้งวัน  โดยมีอาหารเพียงวันละมื้อเดียว คงจะมีผู้ที่มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวจริง ๆ  และมีความเสียสละอย่างแรงกล้าเท่านั้นจึงจะปฏิบัติได้

เพราะเหตุที่ต้องประสบกับความยากลำบากในการฝ่าแดนทุรกันดารเช่นนี้เอง  จึงมีเรื่องเล่าต่อมาว่า  หลังจากธุดงค์รอนแรมอันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานเป็นเวลาประมาณ 4 เดือนแล้ว  หลวงพ่อก็กลับมาปักกลดอยู่ที่ข้างบ้านดอนยายหอม  แต่โดยที่ผิวกายของท่านดำกร้านรูปร่างซูบผอมราวกับคนชรา  ชาวบ้านที่ผ่านไปมาจึงจำท่านไม่ได้ แม้แต่นายแจ้งผู้เป็นพี่ ก็สำคัญว่าเป็นพระธุดงค์มาจากที่อื่น  ต่อเมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ทราบความจริงเข้าก็ถึงกับตกตะลึงแทบจะปล่อยโฮออกมา  ครั้นได้สติแล้วนั่นแหละจึงยกมือไหว้ แล้วถามท่านว่า “คุณเงินหรือนี่”  ซึ่งหลวงพ่อก็ตอบพร้อมกับหัวเราะว่า “ฉันเอง พี่ทิดแจ้ง”  “ฉันแปลกมากไปเชียวหรือ จึงจำฉันไม่ได้ ฉันมาพักอยู่นานแล้ว  เห็นพวกบ้านเราเขาเดินผ่านไปผ่านมาหลายคน  แต่ไม่มีผู้ใดทักฉันสักคน”

ฝ่ายข้างโยมบิดาของหลวงพ่อ คือ “พ่อพรม” นั้นทราบว่าพระลูกชายกลับมาสู่อารามด้วยสมรรถภาพอันแข็งแกร่ง  และด้วยจิตใจอันมั่นคงในการปฏิบัติธรรมวินัย ก็เต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม  ขอย้อนกลับไปกล่าวตอนที่หลวงพ่อเริ่มบวชใหม่อีกสักเล็กน้อยก่อน  หลวงพ่อเป็นบุตรคนที่ 4 ของโยม “พนม  ด้วงพูล”  เกิดในจำนวนบุตร 8 คน  โดยที่โยมบิดาของหลวงพ่อนับได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในตำบลดอนยายหอมขณะนั้น  เมื่อหลวงพ่อได้เข้าสู่บรรพชิตแล้ว  ท่านได้บอกโยมบิดาของท่านว่า  “อาตมาสละหมดทุกอย่างแล้ว  โดยขอให้สัจจะปฏิญาณแก่พี่น้องชาวตำบลนี้ว่า  อาตมาจะไม่ขอลาสิกขาบท อาตมาจะเป็นแสงสว่างให้ทางเพื่อนมนุษย์  ขอให้โยมร่วมอนุโมทนาด้วยความยินดีและมั่นใจ”

สาเหตุที่ท่านไม่อยากครองชีวิตแบบคฤหัสถ์  กล่าวกันว่า เพราะท่านมองเห็นว่า  ความสุขทางโลกไม่จีรังเหมือนสุขทางธรรม  เรื่องของโลกมีแต่ความยุ่งยาก  มีความวุ่นวาย เดือดร้อน ข่มเหง เบียดเบียนและอิจฉาริษยากันไม่สิ้นสุด  ผู้เสพย์รสของความหรรษาทางโลกย่อมมียาพิษเจืออยู่เสมอ  ส่วนผู้เสพย์รสพระธรรมไม่เป็นพิษไม่เป็นโทษแต่อย่างใด  ท่านมักปรารภให้ผู้ใกล้ชิดได้ยินบ่อย ๆ ว่า  “ร่างกายมนุษย์เรานี้ไม่มีแก่น  เกิดมาเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารที่เต็มไปด้วยกองทุกข์  มนุษย์จะหนีทุกข์ได้ มิใช่มากด้วยสมบัติพัสถานหรือข้าทาสบริวาร  ตรงข้ามสิ่งเหล่านี้เป็นพันธะยึดเหนี่ยวจิต  เสมือนหนึ่งจิตถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนต้องพะวักพะวนเศร้าหมอง”

ตอนหนึ่ง หลวงพ่อได้รับรองไว้กับโยมพ่อของท่านว่า “ฉันจะตั้งอยู่ในธรรมวินัย  สร้างความศรัทธาให้แก่เขา (ซึ่งหมายถึงชาวบ้าน  ตำบลดอนยายหอม)  เพื่อเขาจะได้เชื่อมั่นและปฏิบัติตามคำสั่งสอน...”  แนวคติที่หลวงพ่อยึดถือมีดังนี้คือ

 

1.            การปฏิบัติตามพระวินัย  ทุกคนจะยอมรับว่าหลวงพ่อเป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ชนิดหาผู้เสมอเหมือนได้ยาก  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมีมาแล้วหลายครั้งหลายหน เช่น ในคราวที่ท่านอาพาธถึงขนาดต้องไปพักเพื่อรับการรักษาพยาบาลจากนายแพทย์  แพทย์เห็นว่าท่านเป็นโรคกระเพาะอาหารหรือขาดสารอาหาร  จึงประสงค์จะขอถวายอาหารอ่อนๆ จำนวนนมสดในเวลาวิกาลบ้าง  เฉพาะในระหว่างที่ท่านอาพาธหนัก  เพื่อจะได้ช่วยผ่อนคลายโรคให้หายรวดเร็วขึ้น  แต่ทุกครั้งก็ได้รับการปฏิเสธจากท่าน ท่านกล่าวว่า “อาตมาได้เสียสละมานานแล้ว  จะขอเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนาต่อไป  แม้ว่าจะสิ้นชีวิตก็ตาม”  นอกจากนั้น  ผู้ใกล้ชิดย่อมจะสังเกตได้ว่า  หลวงพ่อไม่เคยสนใจกับของขบฉันมิใยใครจะถวายอย่างไร  ก็ฉันไปอย่างนั้น  อาหารที่มีผู้ถวายเก็บไว้ในกุฏิ  ถ้าลูกศิษย์ไม่นำมาถวาย  ก็ไม่เคยเรียกร้องหรือให้ความสนใจแม้แต่น้อย  ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนน้อย  และที่สามารถเห็นได้เสมอ  อีกเรื่องหนึ่งที่ทราบกันมานานก็คือเรื่องเกี่ยวกับเงินทอง  หลวงพ่อไม่ยอมแตะต้องเด็ดขาด  อย่าว่าแต่เงินที่เป็นรูปธนบัตรเลย  แม้แต่เพียงเศษเงินหรือทองคำที่มีผู้ขอให้ปลุกเสก หลวงพ่อก็รังเกียจที่จะจับต้องเช่นกัน

 

2.            วิริยะภาพ หลวงพ่อเป็นผู้มีความเพียรเป็นเลิศ เพียงพรรษาแรกท่านก็สามารถสวดปาฏิโมกข์  ได้หลายปีมาแล้ว ผู้ไปติดต่อนิมนต์หลวงพ่อเพื่อกิจพระศาสนาใด ๆ ก็ตาม  จะต้องฉวยโอกาส คือ รีบไปนิมนต์แต่เนิ่น ๆ หรือหลายเดือนก่อนวันงาน  เพราะบัญชีนิมนต์ของหลวงพ่อเต็มไปหมด  หลวงพ่อไม่เคยขัดการรับนิมนต์ในสมัยนั้น หมายถึงการต้องเดินทางด้วยเท้า  เพราะถนนและรถยนต์ยังไม่แพร่หลายเช่นทุกวันนี้  ไม่ว่าแดดจะร้อน ไม่ว่าฝนจะตก หลวงพ่อไปทันงานเสมอ  ท้องนารอบ ๆ วัดในรัศมี 15-20 กิโลเมตร หลวงพ่อเดินทะลุปรุโปร่งทุกแห่ง  และรู้จักชาวบ้านทั่วไป  มีบ่อย ๆ ที่ผู้นิมนต์ไป  เมื่อเสร็จงานของตนแล้วก็ลืมนึกถึงหลวงพ่อ  ปล่อยท่านกลับวัดตามลำพัง แต่ท่านไม่เคยปริปากบ่น  การรับนิมนต์เพิ่งจะเบาบางลงใน 4-5 ปีหลังนี้  เพราะสุขภาพของหลวงพ่อไม่อำนวย แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยขัด ถ้าสามารถไปได้  หลวงพ่อรับนิมนต์เสมอบางครั้งทั้ง ๆ ที่ไม่สบายหรือเพิ่งหายป่วย ก็ยังรับนิมนต์เพื่อไม่ให้เขาเสียความตั้งใจ  จนร้อนถึงคณะกรรมการวัดต้องปิดประกาศไว้หน้ากุฏิ  ขอร้องให้ผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายระงับการนิมนต์ในงานที่ต้องเดินทางไกล ๆ เสียบ้าง

 

3.            การมีสมาธิ  หลวงพ่อเป็นผู้ตั้งมั่น เด็ดเดี่ยว มุ่งหน้าไปทางธรรมจนขนาดถวายชีวิตไว้ในพระพุทธศาสนาฝ่ายเดียว  ท่านเคยปรารภให้ผู้ใกล้ชิดฟังเสมอว่า  ท่านตั้งใจแต่ก่อนอุปสมบทแล้วว่า  ท่านจะบวชและบำเพ็ญกรณียกิจอยู่ในสมณะจนตลอดชีพ  จนกระทั่งบัดนี้ท่านก็ยังยึดมั่นอยู่เช่นนั้น  ไม่เปลี่ยนแปลง

 

4.            สัจจะ  หลวงพ่อยึดมั่นอยู่ในสัจจะ  ท่านกระทำทุกสิ่งด้วยความจริงใจ  กิจการใด ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของท่านจะสำเร็จเรียบร้อยด้วยดีเสมอ

 

5.             ละโลภ  หลวงพ่อมีความรู้สึกที่เป็นศัตรูต่อความโลภมาตั้งแต่ก่อนอุปสมบท  จะเห็นได้ว่าท่านสละมรดกของท่าน  ท่านไม่เคยเกี่ยวข้องยินดีในลาภสการ  ไม่เคยแตะต้องกับเงินทอง  ไม่ยินดีในลาภยศสรรเสริญ  มีเรื่องเล่ากันว่า ในคราวที่ท่านเจ้าคุณรัตนเวที  เลขานุการของสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน  ซึ่งขณะนี้เป็น “พระราชโมฬี” ได้ขอให้คณะกรรมการวัดจัดทำประวัติของหลวงพ่อในการปกครองวัดดอนยายหอม  เพื่อจะขอรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์  หลวงพ่อได้กล่าวกับลูกศิษย์อย่างเปิดอกว่า “เชื่อฉันเถอะเอ็งเอ๋ย  เกียรติยศ บรรดาศักดิ์ไม่ได้เป็นของ วิเศษ  ทำให้ฉันมีอายุยืนนานยืนยาวออกไปได้อีกหรอก  ยังไง ๆ ฉันก็เป็นหลวงพ่อเงินอยู่นั่นเอง  ใครจะมาเรียกฉันว่าเจ้าคุณนั่น เจ้าคุณนี่  คิดดูแล้วฉันก็มีผ้าห่มคือ สบง จีวร ปีละ 2 ชุดเก่า ๆ ฉันก็มีอาหารสองมื้อ  สมณศักดิ์ป้องกันความเจ็บไข้ก็ไม่ได้  ฉันเบื่อความเป็นใหญ่  พระบ้านนอกอย่างฉัน  เท่าที่ทางคณะสงฆ์ให้เกียรติได้เป็นถึงเจ้าคุณนั้น  ก็ดีถมไปแล้ว...”

 

ผู้ไปนมัสการหลวงพ่อที่วัดดอนยายหอม  จะเห็นคติธรรมที่หลวงพ่อขอให้เขียนไว้เตือนใจ  2 แผ่น แผ่นหนึ่งมีข้อความว่า “จิตหาญ ใจพ้นทุกข์ สุขด้วยธรรม” และอีกแผ่นหนึ่งว่า “รู้จักพอ ก่อสุขทุกสถาน”  และอาจเป็นเพราะภาษิตหลังนี้กระมัง  เหรียญที่ระลึกของหลวงพ่อแทนที่จะจารึกว่า “พระราชธรรมาภรณ์”  หรือ “หลวงพ่อเงิน” จึงกลายเป็น  “หลวงพอเงิน” ซึ่งหลวงพ่อพอใจในชื่อหลังนี้มาก

มีผู้ได้ยินพระปัญญานันทมุนี  แห่งวัดชลประทานปากเกร็ด  ปราศรัยกับประชาชนที่มาชุมนุม ณ ศาลาการเปรียญที่วัดนั้น  คราวมีงานผูกพัทธสีมาว่า “หลวงพ่อเงินองค์นี้ ท่านศักดิ์สิทธิ์  ท่านเป็นพระไม่มีความอยากได้ ไม่โลภ  แต่คนก็ชอบถวายและชอบไปทำบุญกับท่านนัก”  ในคราวมีงานฝังลูกนิมิตของวัดดอนยายหอม  หลวงพ่อไม่ยอมออกไปนอกหัตถบาทดังที่สมภารอื่น ๆ ถือปฏิบัติกันเป็นประเพณีมิหนำซ้ำ ท่านยังร่วมทำสังฆกรรม  และลงมือผลักลูกนิมิตเอง  เป็นการปฏิวัติประเพณีเก่าที่เชื่อกันมาว่า สมภารของวัดผู้ที่ได้ดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถเสร็จลุล่วงไปจนถึงขั้นจัดงานฝังลูกนิมิตหรือผูกพัทธเสมา  จะต้องหนีออกไปเสียให้พ้น  มิฉะนั้นจะต้องตายไปสู่พรหมโลก เพราะเทวดาเห็นว่าได้กระทำการบุญอันยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว

โดยที่หลวงพ่อมิได้ปฏิบัติตามประเพณีนี้  ท่านเจ้าคุณกวีวงศ์  ป.9 ในสมัยดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม  ซึ่งได้รับนิมนต์ไปในงาพิธีด้วย จึงเกิดความสงสัยจนอดไว้ไม่ได้และถามว่า  “การอยู่ในหัตถบาทหรือนอกหัตถบาทนั้น  ท่านพระครู (ขณะนั้นหลวงพ่อมีฐานะเป็นพระครู) มีหลักปฏิบัติอย่างไร”  หลวงพ่อตอบว่า ท่านไม่มีหลักอย่างไร  ได้แต่เพียงสันนิษฐานเท่านั้น  และท่านเห็นว่า เป็นแต่เพียงนโยบายหรือกลวิธีอันหลักแหลมของท่านผู้ออกบัญญัติ เพื่อจะขับสมภาคบางองค์  ที่ไม่บริสุทธิ์เพียงพอและเป็นที่รังเกียจแก่ภิกษุในอารามมาก  ให้ออกไปเสียจากอารามเท่านั้น  เพราะถ้าผู้ใดได้ทำความดีถึงขนาดแล้ว จะทำให้ต้องถึงแก่ชีวิต  ก็เชื่อว่าไม่มีนักบุญคนใดเขาหวาดกลัวเลย  นอกจากนั้นพระท่านก็สอนให้ภิกษุใช้ปัญญาปลงสังขาร  ว่าไม่เที่ยงอยู่แล้ว ใยจะมากลัวอะไรกับความตาย”

เมื่อเดือน ธันวาคม 2504  หลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ในนาม “พระราชธรรมาภรณ์”  ข่าวนี้  ก่อความปลื้มปิติแก่ลูกศิษย์และชาวดอนยายหอมเป็นล้นพ้น  เมื่อได้ปรึกษากันแล้ว ก็ลงความเห็นว่า  ควรจะมีการฉลองตราตั้ง  ซึ่งพระราชทานโดยพระมหากษัตริย์  แต่หลวงพ่อไม่เห็นด้วยกับความดำรินี้  และเมื่อผู้ใกล้ชิดไปขอทราบเหตุผลกับท่าน ๆ กล่าวว่า “ฉันเชื่อในศรัทธาของชาวบ้านที่มีโดยตรงต่อฉัน  ฉันภูมิใจอยู่เสมอในความกตัญญูเหล่านั้น  แต่ลองคิดดู ฉันอยู่อย่างเป็นสุข  มีอาหารก็อย่างดี  ที่อยู่ก็อย่างดี  เท่านี้ก็นับว่าชาวบ้านเขาเลี้ยงชีวิตฉันแล้ว  จะรวบกวนให้เขาต้องเสียเงินทองและเหน็ดเหนื่อย  มีโขน มีละคร  มาเฉลิมฉลองอีก  ฉันว่าเอาเปรียบชาวบ้านเขาเกินไป”

ตกลงคราวนี้  คณะกรรมการวัดต้องจัดงานวางศิลาฤกษ์หอสมุดประชาชน  ประจำตำบลดอนยายหอม  ซึ่งที่จริงแล้วก็ถือโอกาสฉลองสมณศักดิ์แทน

กล่าวได้ว่า  ตลอดระยะเวลาที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่นั้น  สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนา ต่อบ้านเมืองมาโดยตลอด  ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย แม้ล่วงเลยมาถึงบั้นปลายชีวิตของท่าน ก็ยังคงปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอ  และแล้ววันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2520 ท่านก็ถึงแก่มรณภาพ รวมสิริอายุ 86 ปี 66 พรรษา.

 

 

 

การสร้างพระเครื่อง

 

                              

 

พระรุ่นแรก  ที่หลวงพ่อสร้าง เป็นพระผงสีดำและสีแดง (เพราะไม่ได้เคลือบ)  หล่อด้วยแบบพิมพ์ ซึ่งพ่อค้าผ้าจากภาคเหนือนำมาที่วัด  หลวงพ่อเห็นแบบก็ชอบ จึงส่งให้ช่างแกะทองเหลืองขึ้นสำหรับใช้เป็นแบบพิมพ์พระรุ่นนี้

                ส่วนผงที่ใช้ในการสร้างพระรุ่นนี้  หลวงพ่อได้ขอดินจากที่นาของนายหวย อยู่ริมคลองดอนยายหอม ดินที่นำมาใช้เป็นดินละเอียดสีดำ  การเลือกดินของหลวงพ่อเป็นผู้มาพิจารณาเลือกของท่านเอง  นายหวยเป็นผู้ทำพิธีขอดินจากนางพระธรณี เมื่อได้ดินมาแล้ว ก็เอาไปละลายน้ำกรองด้วยผ้าขาวเนื้อดี  ได้เนื้อนำมาตากให้แห้ง  แล้วตำเป็นผง ปั้นเป็นแท่งดินสอ เพื่อนำไปมอบให้หลวงพ่อเขียนอักขระบนกระดานดำ  เสร็จแล้วเก็บผงที่ได้จากกระดานดำมาเข้าแบบพิมพ์เป็นรูปพระ แล้วก็ผึ่งแดดให้แห้ง

                ต่อจากนั้นก็รวบรวมพระที่แห้งสนิทลงในเบ้า คือ หม้อดินใหม่ เอาใบโพธิ์ 3 ใบ อธิษฐานคุณพระรัตนตรัย ปิดปากหม้อแล้วทับและผนึกแน่นด้วยฝาละมี  เอาหม้อที่บรรจุพระแล้วนี้สุมด้วยไฟแกลบ 7 วัน 7 คืน  ในระหว่างสุมก็นิมนต์พระสงฆ์สวดพระปริตรทุกวัน  พระที่ทำครั้งแรกนี้ มีจำนวนไม่มาก  คือราวพันเศษ ๆ ได้แจกไปในหมู่ชาวบ้านที่มาช่วยงานสร้างโบสถ์ เช่น ตอกเข็ม ขุดหลุม ถมดินฐานโบสถ์  เฉพาะถมดินนั้น ทราบว่าต้องใช้ดินมากทีเดียว  เพราะยกพื้นโบสถ์สูง ช่างประมาณไว้ว่าราวเดือนครึ่งเป็นอย่างเร็วจึงจะเสร็จ  แต่เมื่อลงมือทำจริงชาวบ้านไม่รู้จากสารทิศไหน  ต่างมารวมกันแน่นยังกับมีงานวัด  ทำงานกันทั้งวันทั้งคืน โดยวัดไม่ต้องเสียค่าจ้างและทำกันอย่างแข็งขันจริงจัง  ซ้ำยังรู้สึกรื่นเริงสนุกสนานเสียด้วย  ทำงานถมดินกันทั้งกลางวันกลางคืน  ใครว่างเมื่อใดอยากทำเมื่อใดก็ชวนกันไปทำไม่มีใครกะเกณฑ์ ราว 15 วันเท่านั้น งานถมดินก็เสร็จเป็นที่อัศจรรย์ของผู้กะประมาณงานอย่างยิ่ง

                นอกจากพระผงสีดำที่กล่าวแล้ว  ทราบว่า ใน พ.ศ. 2480 นั้นเอง  หลวงพ่อยังได้ทำพระสิบทัศน์ อีกราว 100 องค์  สำหรับแจกแก่ผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยเหลือวัดในการสร้างพระอุโบสถด้วย  แบบพิมพ์พระสิบทัศน์ทราบว่า  ได้ขุดพบบริเวณโคกยายหอมนี้เอง  เป็นพระพิมพ์สิบองค์  สีเทาแบบพระยืนมีรูปชัดเจนมาก  หลวงพ่อชอบใจแบบ จึงได้มาพิมพ์เป็นพระสำหรับแจกให้ชื่อว่า พระสิบทัศน์

                ส่วนพิธีทำคงใช้ผงและวิธีสร้างทำนองเดียวกับที่ได้สร้างพระชุดแรกที่กล่าวข้างต้น  เพราะสร้างในเวลาไล่เลี่ยกัน

               

พระรุ่นสอง  ในระหว่างที่กำลังสร้างพระอุโบสถอยู่นั้น  คงจะมีผู้ศรัทธามาร่วมงานกันมากมาย  จนพระที่สร้างไว้รุ่นแรกจำนวนพันเศษนั้น  ร่อยหรอไม่พอแจกและคงจะทำเพิ่มไม่ทัน เพราะผู้คนที่มาขอมากขึ้น

บังเอิญ นายคำ นามสกุลจำไม่ได้  เคยเป็นเด็กอยู่ที่วัดดอนยายหอม  ต่อมาได้ไปรับราชการทหารอยู่ทางกรุงเทพฯ ทราบเรื่องการสร้างพระเข้าก็เกิดความศรัทธาได้มาถ่ายรูปหลวงพ่อ  แล้วนำไปให้ช่างทำแบบพิมพ์เป็นรูปเสมา  แล้วจัดทำมาให้วัดจำนวนสองหมื่นองค์  โดยทางวัดเป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการสร้างพระคราวนี้ทั้งหมด

โดยที่เหรียญเสมาแบบนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง  แม้ต่อมาจะได้สร้างขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ก็ได้เปลี่ยนแปลงเสียใหม่  ไม่เหมือนเสมาที่จัดทำครั้งแรก  ซึ่งมีที่สังเกตได้  คือจารึกชื่อ “หลวงพ่อเงิน”  ไว้ด้านหน้าตอนบนรูป  ส่วนรุ่นหลัง ๆ ได้แสดงเวลาสร้างไว้ และชื่อ หลวงพ่อเงิน ไปปรากฏอยู่ด้านหลัง  แทนที่จะจารึกไว้ด้านหน้าเหมือนรุ่นแรก  โดยเหตุที่เหรียญเสมารุ่นแรกทำขึ้นครั้งเดียวและมีผู้ต้องการมากนี้เอง  จึงเป็นโอกาสอันดีของบรรดานักฉวยโอกาสทั้งหลาย เช่น ขึ้นราคาบ้าง ทำปลอมขายแก่ผู้ไม่รู้เท่าทันบ้าง  แม้ว่าจะมีเหรียญเสมาแจกแก่ผู้มาร่วมในการสร้างพระอุโบสถแล้วก็ตาม  แต่การสร้างพระแบบแรกก็คงยังทำอยู่  แต่เนื่องจากต้องใช้แรงงานในการทำและเสียเวลามาก  เพราะผ่านกรรมวิธีหลายหน  เมื่อทำสำเร็จก็แจกเรื่อยมา จึงไม่อาจทราบได้ว่าได้สร้างขึ้นอีกจำนวนเท่าใด

พระรุ่นสาม  ได้กล่าวแล้วว่า  การสร้างโบสถ์ของหลวงพ่อ อาศัยแรงงานจากชาวบ้านมาช่วย  โดยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างประกอบกับชาวบ้านจากทุกทิศทุกทาง  นิยมมาร่วมการกุศลกับหลวงพ่อ  พระที่หลวงพ่อทำแจกเป็นที่ระลึกจึงสร้างไม่ค่อยทัน  การแจกพระเป็นที่ระลึกในสมัยนั้น  เป็นการแจกจริง ๆ ผู้มาช่วยงานจะกี่วันกี่คืนก็ตาม  ก่อนจะกลับบ้านก็มากราบลาหลวงพ่อ  หลวงพ่อก็จะถามว่าพวกบ้านมีกี่คน  เมื่อทราบแล้วก็จะแจกพระให้เท่าจำนวนคนในครอบครัว  โดยไม่คำนึงว่า ผู้นั้นทำงานให้วัดกี่วันหรือทำบุญเท่าไร  จำนวนพระจึงร่อยหรอลงโดยรวดเร็ว

หลวงพ่อและคณะกรรมการวัดดำริต่อไปว่า  โบสถ์จะต้องก่อสร้างต่อไปอีกนานและต้องการแรงงานมากด้วย เพราะสมัยสร้างโบสถ์และสร้างโรงเรียนนั้น  ถนนไปมาระหว่างวัดดอนยายหอมกับอำเภอเมืองนครปฐมยังไม่มีการขนส่ง มีทางเดียวคือตามลำคลอง  ซึ่งกระทำได้เฉพาะฤดูน้ำหลาก  ส่วนฤดูแล้งใช้เดินเท้าอย่างเดียวเท่านั้น  รถยนต์โดยสารรับส่งก็ไม่มีเช่นทุกวันนี้  โดยเหตุนี้ พวกวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเช่น ทราย ต้องไปล่องมาจากบางแพ หิน ต้องไปขนจากราชบุรีมาส่งที่คลองจินดา  แล้วชาวบ้านเอาเรือเล็กไปถ่ายลำมาอีกทอดหนึ่ง  ส่วนเหล็ก ปูน และกระเบื้องมุงหลังคา  ซื้อจากตัวจังหวัดนครปฐม  เฉพาะไม้ต่าง ๆ นั้น  ชาวบ้านล่องเรือไปซื้อจากโรงเลื่อยเจ้าของชื่อ  ตาภู่ อยู่ที่จังหวัดอ่างทอง เพราะเข้าใจว่าซื้อได้ราคาถูกกว่าที่อื่น

โดยปกติการขนสิ่งของเหล่านี้  ต้องใช้แรงงานมากอยู่แล้ว  ก่อสร้างในฤดูแล้ง  ซึ่งต้องใช้วัสดุบางประเภทเป็นการรีบด่วน เพราะไม่สามารถจะขนไปเก็บตุนรอไว้ตั้งแต่หน้าน้ำได้  เช่น ปูนซีเมนต์ ปูนขาว เป็นต้น  ก็จะต้องไปขนมาจากนครปฐมเป็นคราว ๆ ตามที่ต้องการใช้  วิธีขนปูนก็คือใช้คนหามสองคนต่อลูก  ปูนซีเมนต์ 5 ตัน 10 ตัน ต้องเดินทางไปมาเกือบ 20 กิโลเมตร  ต้องใช้คนมากเท่าไร ท่านคงทราบได้เอง

การสร้างพระรุ่นนี้  เป็นการสร้างรุ่นใหม่ คือใช้วัสดุใหม่ แต่แบบคงเดิม  ที่เรียกกันว่า “เมฆพัด”  เนื้อสีตะกั่วตัด  มีลักษณะเปราะหักง่าย  สร้างขึ้นในรุ่นแรกนี้ประมาณ 2 พันองค์  การสร้างใช้หล่อในแบบพิมพ์ทองเหลือง  เทได้คราวละองค์เท่านั้น  การสร้างต้องเสียเวลาและแรงงานมากจึงมีจำนวนที่ทำขึ้นไม่มากนัก

ในระยะเดียวกันนี้  มีผู้นำเงินแท่งที่ขุดได้มาถวายหลวงพ่อ  ผู้ถวายเป็นคนจากบางราโท (ตำบลบางระกำ อำเภอนครไชยศรี)  เงินแท่งนี้มีรูปร่างเป็นครึ่งวงกลมผ่าซีก  เพราะใช้ไม้ไผ่เป็นแบบหลอม  กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 10 ซม. ยาว 40 ซม.  คณะกรรมการวัดนำไปใช้ทำพระโดยอาศัยแบบพิมพ์เดิม คือ แบบทำผง แบบสิบทัศน์ และแบบปรกโพธิ์  ซึ่งหลวงพ่อเรียกว่า “พระคันธราราษฎร์”

นอกจากพระที่สร้างข้างต้นนี้แล้ว  หลวงพ่อยังได้สร้างพระกริ่งแบบหลังเบี้ย  มียันต์ข้างหลัง  อีกไม่เกิน 300 องค์ (เพราะทำยาก)  โดยใช้ผงสีดำและทำอย่างเดียวกับแบบแรก  เว้นแต่เปลี่ยนรูปร่างเสียใหม่เท่านั้น  พระที่สร้างในรุ่นราวคราวเดียวกันนี้ มีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งทำด้วยดินสีมันปู (สีเหลือง ดินนี้ได้มาจากบ้านคันลำ) ตำบลถนนขาด  ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับตำบลดอนยายหอมนั้น

ในระยะนี้จะเห็นได้ว่า  หลวงพ่อได้สร้างพระขึ้นหลายรุ่นหลายแบบ  ตามเสียงกล่าวว่า  ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากต้องการจูงใจคนให้มาร่วมการสร้างพระอุโบสถ  เพราะการก่อสร้างต่างๆ เช่น  ผูกเหล็กติดแบบ  เทปูน ตลอดถึงมุงหลังคา  ต้องการแรงงานมาก  งานเหล่านี้ชาวบ้านทำเองทั้งสิ้น  คงจ้างเฉพาะนายช่างกับลูกมือเพียง 2 คนเท่านั้น โดยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องสร้างพระแบบต่าง ๆ ขึ้น  เพื่อจูงใจคนให้มาร่วมการกุศลสร้างพระอุโบสถมิให้งานชะงักลง

พระรุ่นสี่   พระรุ่นนี้เป็นพระที่สร้างขึ้นพร้อมกับการหล่อพระประธาน  ในพระอุโบสถหล่อด้วยทองเหลือง  แม้ขนาดจะใกล้เคียงกับแบบแรก  แต่ก็จัดทำแบบขึ้นใหม่ต่างหาก  มีความแตกต่างกันเป็น 3 แบบ แบบแรกมีองค์พระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แบบที่สองพิมพ์เดียวกัน แต่มีองค์พระเฉพาะด้านหน้า  ส่วนด้านหลังเป็นยันต์และตัวอักขระ  ส่วนแบบที่สามด้านหลังเหมือนกับแบบที่สอง  แต่ด้านหน้าลักษณะองค์พระอ้วนท้วนสมบูรณ์กว่า ข่าวแจ้งว่า  แบบที่สามนั้น  ทำการหล่อในเดือนกันยายน ราว 2-3 เดือน  ก่อนหล่อพระประธาน ซึ่งกระทำในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน  เข้าใจว่าที่ต้องหล่อก่อน คงมุ่งหมายจะใช้สำหรับแจกแก่ผู้มาร่วมการกุศลในคราวที่จะหล่อพระประธานนั่นเอง  วัสดุที่ใช้ในการหล่อใช้ทองเหลืองผสมเงินแท่ง  ทางวัดเป็นผู้จัดการหล่อเอง  ส่วนแบบที่หนึ่งและสองนั้น นายสนิท เปาวโร เป็นนายช่างหล่อพร้อมกับพระประธานในพระอุโบสถ  ทางวัดขอให้หล่อแบบที่สองเท่านั้น   แบบที่หนึ่ง ซึ่งมีพระสองหน้ามีจำนวนราว 2 พันองค์  นายช่างได้ออกแบบและจัดหล่อให้เป็นพิเศษทางวัดไม่ได้สั่ง  ส่วนแบบหน้าเดียวสร้างขึ้นประมาณ 3,000 องค์

พระรุ่นห้า   สร้างขึ้นเมื่อเสาร์ 5 ก่อนก่อสร้างโบสถ์เสร็จเล็กน้อย  ในขณะนั้นทางวัดต้องการใช้เงินในการจัดจ้างช่างฝีมือมาตกแต่งพระอุโบสถ  เช่น การทำประตู หน้าต่าง การเขียนลายทองรดน้ำประตูหน้าต่าง  การปรับพื้น  ทาสี เป็นต้น  ในระยะนี้พอดีหลวงพ่อมีอายุจวนครบ 5 รอบ (60 ปี) ทางวัดจึงได้สร้างเป็นพระเมฆพัด  มีลักษณะแตกต่างกับรุ่นอื่น ๆ คือ  หล่อแบบมีห่วงวงกลมติดอยู่ที่ยอดด้วย  แต่เนื่องจากเนื้อเมฆพัดอาจเปราะหักง่าย  ผู้ที่ได้รับไปจึงมักนิยมตัดห่วงออก  และผู้ตกแต่งพระของวัดเองก็ตัดห่วงออกบ้าง  จึงเหลือเพียงพระแบบเมฆพัดไม่มีห่วง และรุ่นต่อ ๆ มาก็ตัดห่วงออกเช่นกัน

พร้อม ๆ กันนี้  ทางกรรมการของวัดก็ต้องการของที่ระลึก  สำหรับแจกแก่ศิษยานุศิษย์  ซึ่งจะมาร่วมทำบุญฉลองอายุให้แก่หลวงพ่อด้วย  จึงได้จัดทำเสมาแบบเดียวกับรุ่นแรก  โดยจ้างทำจากกรุงเทพฯ  เสมาที่สร้างขึ้นในรุ่นนี้ทางวัดได้แจกไปในการทำบุญอายุหลวงพ่อ  กับยังมีการแจกพระรุ่นต่าง ๆ ที่เหลือจากการแจกชาวบ้านที่มาช่วยก่อสร้างพระอุโบสถอีกด้วย

พระรุ่นหก  หลังจากสร้างพระอุโบสถเสร็จแล้ว อีกหลายปีคือราวปี พ.ศ. 2496  คณะกรรมการวัดได้ปรึกษาหารือตกลงกันว่า  จะสร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นใหม่อีกหลังหนึ่ง  แต่โรงเรียนที่จะสร้างขึ้นนี้จะใช้แบบของกระทรวงศึกษาธิการ  ซึ่งเป็นตึกขนาดใหญ่มาก การก่อสร้างจะต้องใช้จ่ายสูง  หลวงพ่อจึงได้จัดสร้างพระขึ้นอีก พระที่สร้างรุ่นนี้  ชาวบ้านเรียกชื่อตามลักษณะงานที่ได้รับแจกมา เช่น พระหามหินบ้าน พระขุดหินบ้าง ที่มีชื่อเช่นนี้ก็เพราะทางวัดได้วางกฎเกณฑ์การแจกพระแต่ละชนิดไว้ เช่น พระหามหิน ก็เป็นพระชนิดหนึ่งสำหรับแจกแก่ผู้ที่หามหิน  หามเหล็ก  หามปูน  มาจากนครปฐม ผู้อ่านคงจำได้ว่า  ถนนที่จะใช้เป็นทางคมนาคมโดยรถยนต์ขณะนั้นยังไม่มี  การขนวัสดุก่อสร้างหน้าแล้งต้องใช้แรงคนหามโดยตลอด  ซึ่งมีระยะทางไปมาเกือบ 20 กิโลเมตร  ส่วนพระขุดดินนั้น  ทราบว่าทางกรรมการวัดได้วางหลักเกณฑ์ไว้จะแจกให้แก่ผู้ขุดดินได้ลึก  2 x 2 x 2 เมตร ต่อหนึ่งองค์

อนึ่ง พร้อมกับการสร้างโรงเรียนคราวนี้  ทางวัดต้องการขยายบริเวณวัดให้ออกติดต่อกับแนวถนนนครปฐม-ดอนยายหอม  ซึ่งทางราชการจะจัดทำขึ้นใหม่  จึงได้ตกลงจะซื้อที่ดินที่ติดกับถนนอีกราว 3 ไร่เศษ  ในราคาตารางวาละ 130 บาท เป็นเงิน 175,550 บาท  ทางวัดจึงได้สร้างพระที่เคยสร้างไว้แล้วในแบบต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีก  เช่น พระสิบทัศน์  พระคันธารราษฎร์  ตลอดจนพระเมฆพัด  พร้อมกับได้จัดการหล่อพระสิบทัศน์ขนาดกลางขึ้นด้วย  เพราะพระผงทำได้ไม่ทันตามต้องการ  ในขณะเดียวกันทางวัดก็ได้จัดสร้างพระเมตตาขึ้นอีกชนิดหนึ่ง  โดยออกแบบเป็นรูปสี่เหลี่ยม  ที่ตอนบนองค์พระมีปรกโพธิ์ทำด้วยผงสีเหลืองผสมแก่นจันทร์ (หอม)  ความมุ่งหมายที่ทำพระรุ่นนี้ขึ้นสันนิษฐานว่า  คงมุ่งจะแจกให้แก่สตรีโดยเฉพาะ  แก่ผู้ที่มาช่วยการงานและการครัวของวัดเป็นส่วนใหญ่  ต่อมาความนิยมแพร่หลายมากขึ้น  ทางวัดก็ได้จัดทำเพิ่มอีกหลายคราว และแจกแก่บุคคลผู้สนใจทั่วไปด้วย

พึงสังเกตว่า  แต่เดิมมาทางวัดได้แจกพระแก่ผู้มาร่วมในการกุศล  ตามจำนวนบุคคลในครอบครัวของผู้มาร่วมงาน  โดยไม่ได้คำนึงถึงผลงานที่ผู้นั้นมีส่วนร่วมในการกุศลด้วย  แต่ต่อมาปรากฏว่า จำนวนความต้องการมีเพิ่มขึ้น  จนคณะกรรมการวัดจัดสร้างพระไม่ทันประการหนึ่ง  อีกประการหนึ่งทางวัดต้องใช้เงินมาก ทั้งในการก่อสร้างโรงเรียน  ทั้งในการจัดซื้อที่ดิน  คระกรรมการวัดจึงได้ปรึกษากันวางกฎเกณฑ์กำหนดอัตราการแจกพระขึ้นใหม่  ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อก็ไม่ค่อยจะเต็มใจและได้ทักท้วงไว้ด้วย  เพราะกรรมการวัดเห็นว่าจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น  โดยเหตุนี้ พระสิบทัศน์ที่สร้างขึ้นใหม่หนึ่งหมื่นองค์  พระคันธารราษฎร์หนึ่งหมื่นองค์  พระโคนสมอ 500 องค์ คณะกรรมการจึงกำหนดมูลค่าไว้ คือ พระสิบทัศน์ (รุ่นแรก) แจกแก่ผู้มาร่วมการกุศลตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป  พระคันธารราษฎร์ตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไป  พระอื่น ๆ ก็กำหนดมูลค่าลดหลั่นกันเข้าใจว่าถือขนาดพระ

เมื่อการสร้างโรงเรียนเสร็จแล้ว  ทางวัดได้รับเงินมาจากทางราชการเป็นการสมทบกับเงินของวัด  จำนวนสองแสนห้าหมื่นบาท  ทางวัดได้นำเงินจำนวนนี้ไปจัดสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นมา

พระรุ่นเจ็ด  พระรุ่นนี้แตกต่างกับรุ่นอื่น  เพราะแทนที่จะเป็นพระพุทธรูป  ได้สร้างเป็นรูปเหมือนของหลวงพ่อ  การสร้างขึ้นคราวนี้  เนื่องจากจังหวัดนครปฐมจะทำการย้ายโรงพยาบาล จากบริเวณที่อยู่เดิมซึ่งคับแคบ  มาสร้างใหม่ที่ตำบลห้วยจระเข้ให้มีบริเวณกว้างขวางใหญ่โตขึ้น  ในการนี้ทางจังหวัดก็ปรารถนาจะสร้างตึกไว้  สำหรับพยาบาลพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธโดยเฉพาะ  ไม่ให้ปะปนกับคนไข้อื่น  จึงได้ปรารภเรื่องนี้กับหลวงพ่อ  ขอให้ท่านช่วยพร้อมกับขอใช้ชื่อ “ราชธรรมาภรณ์”  เป็นชื่อตึกด้วย  ซึ่งท่านก็ไม่ขัดข้อง  จังหวัดจึงได้ดำเนินการสร้างรูปปั้นเหมือนหลวงพ่อขึ้น 3 ขนาด คือ ขนาด 1 นิ้ว 3 นิ้วและ 5 นิ้ว การหล่อรูปหลวงพ่อขนาดเท่าองค์จริงของท่าน  แล้วนิมนต์ไปประดิษฐานไว้ประจำตึกหลังนี้อีกส่วนหนึ่ง  โดยให้โรงกษาปณ์เป็นผู้จัดการหล่อ  นอกจากนั้นท่านเจ้าคุณราชโมฬี  วัดพระเชตุพน  ก็ได้ให้โรงกษาปณ์จัดทำเสมาขนาดจิ๋ว  มีรูปเหมือนหลวงพ่อ  ตรงกลางขึ้นอีกแบบหนึ่ง ให้หลวงพ่อปลุกเสกในคราวนี้ด้วย

เมื่อหล่อเสร็จเรียบร้อย  จังหวัดก็แจ้งไปยังบรรดาลูกศิษย์ ของหลวงพ่อให้ช่วยกันบอกบุญไปยังผู้รู้จักคุ้นเคย  ปรากฏว่ามีผู้ศรัทธาทำบุญกันเนืองแน่น  เมื่อสร้างตึกเสร็จก็สามารถรวบรวมเงินได้หนึ่งล้านสองแสนบาทเศษ  พอเป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างตึกหลังนี้  อันที่จริงทราบว่า  เงินยังมีเหลือจากการสร้างตึกอีกแสนเศษ พอนำไปใช้จ่ายสำหรับซื้อเครื่องใช้อื่น ๆ ด้วย  อนึ่ง ระยะนี้เข้าใจว่า ทางวัดดอนยายหอมคงจะสร้างเสมามีรูปหลวงพ่อขนาดเดียวกับที่เคยสร้างขึ้นอีก  2-3 รุ่น  แต่ได้เปลี่ยนด้านหลังเสียใหม่  ให้แสดงถึงปี พ.ศ. ที่ทำหรือแสดงอายุของหลวงพ่อไว้เป็นเครื่องหมาย  ซึ่งแตกต่างกับเสมารุ่นแรก

พระรุ่นแปด  เนื่องจากสระน้ำสำหรับใช้อาบและบริโภคแห้งมากในฤดูแล้ง  ไม่พอสำหรับพระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านทางวัดจึงได้ดำริจะสร้างบ่อน้ำบาดาลขึ้น  เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระและชาวบ้านมิให้ต้องเดือดร้อนในฤดูแล้ง  บังเอิญในปลายปี 2504 นั้นเอง  หม่อมเจ้ารัตโนภาส  ทรงทราบเรื่องนี้เข้าก็ทรงนำเงินมาถวายหกหมื่นบาท  การเจาะบ่อบาดาลจึงได้เริ่มดำเนินงานมาจนเสร็จเรียบร้อย  ในขณะเดียวกันนี้  ก็ได้มีศิษย์มาปรารภกับหลวงพ่อว่า  อยากจะทำเหรียญเล็ก ๆ มีรูปหลวงพ่อมาถวายสำหรับแจก  โดยผู้ถวายได้แสดงความประสงค์จะให้หลวงพ่อแจกแก่เด็ก ๆ บ้าง  เพราะสำหรับผู้ใหญ่นั้นหลวงพ่อทำขึ้นหลายครั้งแล้ว หลวงพ่อก็ไม่ขัดข้อง  ศิษย์ผู้นั้นจึงได้จัดทำเหรียญทองแดงมีรูปหลวงพ่ออยู่ด้านหน้า  ด้านหลังมีอักขระและปี พ.ศ. 2504  ซึ่งเป็นปีที่ทำเหรียญนั้น  มาถวายจำนวนหมื่นองค์  เหรียญแบบนี้เป็นแบบใหม่  ซึ่งเพิ่งจัดทำขึ้นคราวนี้เป็นครั้งแรก  ปรากฏภายหลังว่า เหรียญรุ่นนี้ได้รับความนิยมมาก  และได้จัดทำขึ้นอีกหลายครั้งจนวัดได้เงินมาทำการก่อสร้างหอถังน้ำบาดาลเสร็จเรียบร้อย  ชาวบ้านและวัดใช้กันอยู่ทุกวันนี้

พระรุ่นเก้า  ท่านเจ้าคุณราชโมฬี วัดพระเชตุพน  เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณรัตนเวที  ปรารภว่า หลวงพ่อได้สร้างถาวรวัตถุไว้แก่วัดดอนยายหอมมาก  นานไปอาจไม่มีทุนจะทำนุบำรุงเพียงพอ  สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ก็จะชำรุดทรุดโทรม ท่านจึงได้ปรารภกับหลวงพ่อขอตั้ง “มูลนิธิ” ของหลวงพ่อขึ้นไว้สักทุนหนึ่ง  ซึ่งหลวงพ่อก็เห็นชอบด้วย

เพื่อเป็นการสมนาคุณแก่ผู้บริจาคเงินสมทบทุนสร้างมูลนิธิคราวนี้  ท่านเจ้าคุณได้ออกแบบให้โรงกษาปณ์จัดพิมพ์เหรียญ 3 ขนาด  สำหรับแจกจ่าย คือ เหรียญกลมมีรูปหลวงพ่ออยู่ตรงกลาง  ด้านหลังมีพัดยศ  สร้างครั้งแรกในงานฝังลูกนิมิตวัดพระงาม อำเภอเมือง นครปฐม  ซึ่งหลวงพ่อเป็นประธานในการสร้างอุโบสถหลังนี้  เหรียญนี้ นายเอนก ศิริสัมพันธ์  เป็นช่างแกะออกแบบ แล้วให้โรงกษาปณ์จัดพิมพ์หมื่นองค์  ใช้วัสดุทองคำ นาก เงิน และนิเกิล  เฉพาะนิเกิลจำนวนพิมพ์หมื่นองค์  งานฝังพัทธเสมาคราวนั้นได้เงินถึง 8 แสนเศษ  ซึ่งไม่คาดหมายมาก่อน  เหรียญรุ่นนี้จึงได้ชื่อว่า “หลวงพ่อเงินแปดแสน”

ส่วนเหรียญใหญ่อีกอันหนึ่ง  มีรูปด้านหน้ากับมี “โคกยายหอม”  อยู่ด้านหลัง  พร้อมด้วยเหรียญเล็กแบบเดียวกัน  สร้างในคราวมีการทอดกฐินสามัคคี  ซึ่ง พลเอก จิตติ นาวีเสถียร  เป็นประธาน  เมื่อปี 2506 โดยที่เหรียญ 3 แบบนี้ มีความงดงามมาก  จึงได้มีผู้นิยมแพร่หลายไม่แพ้พระรุ่นอื่น ๆ  มีข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่ง คือ พระที่หลวงพ่อสร้างไม่ว่าจะแบบใดรุ่นใด  ได้ระบาดไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั่วไป  ไม่ว่าจะไปที่ไหนเมื่อพบนักเลงพระ  ถ้าถามหาพระหรือเสมาของหลวงพ่อเป็นมีให้ชมทั้งนั้น  เหรียญและเสมาที่สร้างโดยโรงกษาปณ์นี้  มีแบบและลวดลายประณีตมาก  ยากที่ฝีมือโรงงานทั่ว ๆ ไปจะทำปลอมให้เหมือนได้  ฉะนั้นเข้าใจว่าคงจะไม่มีการปลอม  หรือถ้าปลอมก็คงจะมีจำนวนน้อยกว่าแบบอื่น ๆ ซึ่งมีของปลอมระบาดอยู่ทั่วไป

พระรุ่นสิบ  ในการสร้างโรงเรียนมัธยมประชาบาลหลังใหม่  ทางคณะครูโรงเรียนได้จัดให้มีงานแข่งวัวลาน  เพื่อหาเงินมาสมทบทุนสร้างโรงเรียนอีกทางหนึ่ง  และได้จัดสร้างเสมาแบบใหม่ขึ้นมีลักษณะเป็นรูปหน้าวัว  พร้อมกับได้จัดทำพระกริ่งขึ้นอีกแบบหนึ่ง  เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน สำหรับเป็นพระกริ่งทำเป็นแบบนั่งสมาธิ  ข้างหลังมีอักขระสร้างด้วยทองเหลือง  เสมารูปหน้าวัวที่ทำขึ้นครั้งนี้  ทำครั้งเดียว จำนวนเท่าใดไม่ปรากฏ  เสร็จแล้วก็มิได้สร้างเพิ่มเติมอีก  ส่วนพระกริ่งนั้นได้สร้างเพิ่มอีก 1 หรือ 2 ครั้ง  แต่เป็นจำนวนครั้งละเล็กละน้อยเท่านั้น

พระรุ่นสิบเอ็ด  พ.ศ. 2512  เป็นปีซึ่งมีเสาร์ห้า  ประกอบกับลายรดน้ำและหน้าบันโบสถ์ของวัดก็ทรุดโทรม  คณะกรรมการวัดปรึกษาหารือกัน  เห็นว่าน่าจะได้มีการซ่อมใหญ่กันสักครั้งหนึ่ง  ก่อนจะถึงวันงานของหลวงพ่อ  คณะศิษย์จึงปรึกษากันจะสร้างพระขึ้นมาในโอกาสอันเป็นเสาร์ห้านี้อีกสักครั้ง  แต่เมื่อได้นำเรื่องนี้ไปหารือหลวงพ่อ ท่านไม่เห็นด้วย  เพราะเกรงจะถูกครหาว่าเป็นการฉวยโอกาส  แต่ด้วยความจำเป็นดังกล่าวแล้ว  บรรดาศิษย์จึงหาโอกาสอ้อนวอนให้หลวงพ่อเห็นความจำเป็น หลายครั้งหลายหน เพื่อให้ท่านเห็นว่าในคราวที่จะต้องทำพิธีปลุกเสกเหรียญสิบทัศน์  ซึ่งบรรดาศิษย์จะรวบรวมกันสร้างมาถวายนี้  ทางวัดควรจัดทำพิธีขึ้นสักอย่างหนึ่ง เช่น สร้างพระสิบทัศน์แบบหล่อด้วยทองเหลืองสักหมื่นองค์ และหล่อพระพุทธรูปบูชาสำหรับบรรดาลูกศิษย์  และชาวบ้านจะได้มีไว้เคารพสักการะสักจำนวนหนึ่ง  แทนที่จะให้ชาวบ้านกราบไหว้เสาไหว้ฝาเช่นขณะนี้  หลวงพ่อขัดไม่ได้ก็ยินยอม  แต่มีข้อแม้ว่า การสร้างพระบูชานั้นไม่ให้ทางวัดเรียกร้องเงินใด ๆ นอกเหนือจากที่จะต้องจ่ายให้แก่ช่าง  อีกอย่างหนึ่งจำนวนที่สร้างขึ้น  จะต้องเป็นจำนวนเท่าที่มีผู้จองเท่านั้น  ไม่ให้ทำเกินเป็นอันขาด

ข่าวหลวงพ่อยินยอมให้สร้างพระบูชา  ดูจะเป็นข่าวที่ลูกศิษย์ยินดีมาก  เพราะปรารถนาจะได้พระบูชาที่หลวงพ่อสร้างมานานแล้ว  แต่ไม่มีโอกาสสักครั้ง ฉะนั้น เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็มีผู้สั่งจองล้นหลาม  แต่โดยที่ระยะเวลาสั่งทำกระชั้นชิดกับวันเสาร์ห้ามาก  ช่างไม่สามารถจะรับได้ตามจำนวนที่มีผู้ต้องการ  คงสร้างได้เพียงสองร้อยองค์เท่านั้น  ผู้ที่อยากได้ไว้เป็นที่เคารพสักการะแต่จองไม่ทัน  ก็ได้แต่รอคอยต่อไปด้วยความหวังว่า โอกาสหน้าอาจได้สร้างสักวันหนึ่ง  ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะมีหรือไม่และเมื่อใด

รวมความว่า การสร้างในรุ่นนี้ มีพระสิบทัศน์รวม 3 แบบ  จัดทำอย่างละหมื่นองค์  และพระบูชาจำนวน 200 องค์  อนึ่ง ในโอกาสอันเป็นมงคลนี้  บังเอิญผู้ที่ร่วมไปอินเดียกับหลวงพ่อ  ได้รวบรวมดินผงจากสังเวชนียสถานหลายแห่งในอินเดียมาไว้ที่วัดบ้าง  จึงได้นำผงนี้มาจัดทำพระโดยใช้พิมพ์แบบใหม่ขึ้นอีกแบบหนึ่ง  สีผงเป็นสีแดงอิฐเผา  พระแบบนี้เพิ่งสร้างครั้งแรกและมีจำนวนไม่มากนัก  จึงยังไม่ค่อยมีผู้รู้จักแพร่หลายเท่าใดนัก

 

สนใจเช่าบูชาูวัตถุมงคลของหลวงพ่อเงิน Click ที่นี่ได้เลยครับ

 

ที่มา : นิตยสารเซียนพระ